โรคนอนกรนในเด็ก ภัยเงียบ ที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

โรคนอนกรนในเด็ก ภัยเงียบที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

โรคนอนกรนในเด็ก ภัยเงียบที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

การได้เห็นลูกหลับสนิทในยามค่ำคืนเป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่รู้สึกอุ่นใจที่สุด แต่ถ้าลูกนอนหายใจเสียงดังหรือลูกนอนหายใจติดขัด สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเด็กนอนกรนเป็นภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกทั้งด้านร่างกายและจิตใจ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

โรคนอนกรนในเด็กคืออะไร?

โรคนอนกรนในเด็ก (Pediatric Obstructive Sleep Apnea หรือ POSA) เป็นภาวะที่เกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้นในขณะนอนหลับ ทำให้เกิดการหายใจลำบากหรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ อาการนี้พบได้ในเด็กทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก นอนกรนที่มีต่อมทอนซิล (Tonsil) หรือต่อมอะดีนอยด์โต (Adenoid Hypertrophy) หรือในเด็กที่มีภาวะน้ำหนักเกิน (Pediatric Obesity and Overweight)

อาการของเด็กนอนกรนมักไม่ใช่แค่เสียงกรนธรรมดา แต่ยังรวมถึงอาการลูกหยุดหายใจขณะหลับ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและพฤติกรรมของเด็กในระยะยาว หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสม

ช่วงอายุที่พบนอนกรนในเด็ก

อาการนอนกรนในเด็กสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยทารกไปจนถึงช่วงวัยรุ่น แต่ช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุดคือระหว่าง 2-8 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ขยายตัวมากที่สุด ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กนอนกรนหรือมีภาวะลูกหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA)

สาเหตุของโรคนอนกรนในเด็ก

  1. ต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต
    ต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ที่มีขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้นในเด็ก อาการนี้พบได้บ่อยในเด็กเล็ก นอนกรนและมักเป็นสาเหตุของเสียงกรนหรือการหยุดหายใจขณะหลับ
  2. ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน (Pediatric Obesity and Overweight)
    เด็กที่มีน้ำหนักตัวเกินมักมีไขมันสะสมบริเวณลำคอมากขึ้น ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลงและทำให้เกิดเสียงกรนในขณะนอนหลับ
  3. โครงสร้างของใบหน้าและขากรรไกร
    โครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติ เช่น ขากรรไกรเล็กหรือทางเดินหายใจแคบ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคนอนกรนในเด็กได้
  4. ปัจจัยทางพันธุกรรม
    เด็กที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะนอนกรนในเด็ก
  5. ปัญหาทางเดินหายใจส่วนบน
    ภูมิแพ้หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอาจทำให้ทางเดินหายใจอุดตันชั่วคราวและส่งผลให้เกิดเสียงกรนในขณะนอนหลับได้

อาการที่พ่อแม่ควรสังเกต

  1. ภาวะลูกนอนกรนเสียงดังและมีเสียงคล้ายเสียงหวีดขณะหายใจ
    หากลูกนอนหายใจเสียงดังผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีเสียงหวีดในลมหายใจ แสดงว่าทางเดินหายใจอาจมีการอุดกั้นบางส่วนอยู่ ควรเข้ามาพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
  2. ลูกหยุดหายใจขณะหลับ มีช่วงที่การหายใจขาดหายไปชั่วครู่ อาจทำให้ลูกสะดุ้งตื่น
    การหยุดหายใจเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ในระหว่างการนอนหลับอาจสังเกตได้จากการที่ลูกสะดุ้งตื่นหรือการหายใจแรงหลังจากช่วงที่หยุดหายใจ อาการนี้ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยทันทีจากแพทย์เฉพาะทางเพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  1. ลูกนอนหายใจติดขัดหรือมีอาการลูกหายใจทางปากขณะนอนหลับ
    การลูกหายใจทางปากเป็นสัญญาณว่าทางเดินหายใจทางจมูกอาจถูกปิดกั้น หรือกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างทางเดินหายใจ เช่น ต่อมทอนซิลหรืออะดีนอยด์โต อาจกระทบต่อการนอนหลับในระยะยาว
  2. พฤติกรรมระหว่างวันเปลี่ยนไป
    เด็กที่มีปัญหาการนอนหลับมักมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในระหว่างวัน เช่น หงุดหงิดง่าย ขี้อารมณ์เสีย ขาดสมาธิ หรือมีพฤติกรรมที่ดูเหมือนสมาธิสั้น อาการเหล่านี้เกิดจากการที่สมองไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเพียงพอในตอนที่นอนหลับ
  3. การเรียนไม่ทันเพื่อน เพราะสมองไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอในช่วงกลางคืน
    การหยุดหายใจหรือทางเดินหายใจถูกปิดกั้นในขณะหลับ ส่งผลให้สมองได้รับออกซิเจนน้อยลง จึงทำให้มีปัญหาด้านการเรียนรู้และจดจำ ตามไม่ทันเพื่อนในชั้นเรียน
  4. ลูกเหนื่อยง่ายผิดปกติ แม้ว่าจะไม่ได้ออกกำลังกายหนัก
    ความเหนื่อยล้าในเด็กอาจไม่ได้เกิดจากการทำกิจกรรมเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นผลจากการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้พลังงานของร่างกายไม่เพียงพอต่อการใช้งานในแต่ละวัน

ผลกระทบของโรคนอนกรนในเด็ก

โรคนอนกรนในเด็กอาจดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน เช่น

  1. ผลกระทบต่อพัฒนาการร่างกาย
    • การนอนหลับที่ไม่เต็มที่ ส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ซึ่งจำเป็นต่อการเติบโตของเด็ก
    • ภาวะลูกนอนกรน ส่งผลต่อพัฒนาการด้านร่างกายช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน
  2. ผลกระทบต่อสมองและการเรียนรู้
    • ถ้าสมองไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ ก็จะทำให้สมองทำงานได้ไม่เต็มที่
    • เด็กอาจมีปัญหาด้านความจำ สมาธิสั้นหรือเรียนรู้ช้ากว่าเพื่อนคนอื่น
  3. ผลกระทบด้านอารมณ์และพฤติกรรม
    • เด็กที่นอนกรนมักมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย ขาดความอดทน และมีพฤติกรรมก้าวร้าว
    • ในบางครั้งก็อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวและการเข้าสังคม
  4. โรคหัวใจและหลอดเลือด
    • หากไม่ได้รับการรักษาเด็กอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือปัญหาหัวใจในระยะยาว

วิธีการดูแลและป้องกันลูกจากโรคนอนกรน

สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากพบว่าลูกมีอาการนอนกรน ลูกหยุดหายใจขณะหลับ หรือลูกนอนหายใจติดขัด ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจวินิจฉัยและหาทางรักษาตามลำดับ

  1. ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการนอน
    • ให้ลูกนอนในห้องที่สะอาด ไม่มีฝุ่นหรือสารก่อภูมิแพ้
    • ใช้หมอนที่ช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดโล่ง
  2. ควบคุมน้ำหนักของลูก สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักอย่างเหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงของโรคเด็กนอนกรน
  3. ส่งเสริมพฤติกรรมการนอนที่ดี
    • กำหนดเวลาเข้านอนและตื่นนอนอย่างสม่ำเสมอ
    • หลีกเลี่ยงการให้เด็กดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน
  4. ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อการรักษา
    • การผ่าตัดต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ ถ้าเป็นสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจ
    • การใช้เครื่องช่วยหายใจในบางกรณี เช่น เครื่องช่วยหายใจ CPAP (Continuous Positive Airway Pressure)
โรคนอนกรนในเด็ก ภัยเงียบที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

ทางเลือกการรักษาโรคนอนกรนในเด็ก ที่ VitalSleep Clinic

  1. การทำกายภาพบำบัดทางเดินหายใจ Myofunctional Therapy
    การฝึกกล้ามเนื้อบริเวณปากและลำคอผ่านเทคนิคเฉพาะ ช่วยปรับการทำงานของกล้ามเนื้อในทางเดินหายใจ เน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ช่วยลดอาการนอนกรนและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นเหตุ
  2. Breastfeeding Tongue-Tie Release การผ่าตัดเล็กแก้ปัญหาลิ้นติด
    สำหรับเด็กเล็กที่มีปัญหาลิ้นติด (Tongue-Tie) กระทบต่อการหายใจและการนอนหลับ แก้ไขปัญหาด้วยการผ่าตัดเล็กแบบปลอดภัย ช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวลิ้นได้เต็มที่ ลดปัญหาการอุดกั้นในทางเดินหายใจ และช่วยให้การหายใจและการนอนหลับมีคุณภาพดีขึ้น
  3. RPE/TPA Therapy อุปกรณ์ขยายและรักษาความกว้างของเพดานปาก
    การขยายและรักษาความกว้างเพดานปากด้วยเครื่องมือทันตกรรม เช่น RPE (Rapid Palatal Expander) หรือ TPA (Transpalatal Arch) เพื่อเพิ่มพื้นที่ในทางเดินหายใจของเด็ก เทคนิคนี้ช่วยแก้ปัญหาการอุดกั้นของทางเดินหายใจที่เป็นสาเหตุของเด็กนอนกรน ยังส่งผลดีต่อการพัฒนาทางทันตกรรมในระยะยาว

สรุป

“โรคนอนกรนในเด็ก” อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ความจริงแล้วมันส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกอย่างมาก การใส่ใจและสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิดคือสิ่งสำคัญ พ่อแม่ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางหากพบอาการผิดปกติ เพื่อให้ลูกได้รับการรักษาที่เหมาะสมและเพิ่มคุณภาพการนอนหลับในทุก ๆ คืน เพราะสุขภาพของลูกคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับพ่อแม่

Scroll to Top