การใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้บริเวณโคนลิ้น
(Radiofrequency at Base of Tongue : RF BOT)

การแก้นอนกรนด้วยวิธีนี้สามารถทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ หรือการดมยาสลบ หลังรักษามีแผลที่เยื่อบุโคนลิ้นเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีบาดแผลใดๆ ที่มองเห็นได้จากภายนอก อาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัดไม่มาก ใช้ระยะการรักษาเพียงแค่ 15 นาที

การรักษานอนกรนด้วยวิธีการใช้ RF จี้บริเวณโคนลิ้น เหมาะกับใคร

เหมาะกับผู้ที่นอนกรนเสียงดังและมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่รุนแรง เช่น มีอาการสะดุ้งตื่นกลางดึก นอนเยอะแต่ยังรู้สึกง่วง อ่อนเพลีย ง่วงนอนในเวลางาน ไม่สดชื่น

ข้อดีของการรักษานอนกรนด้วยวิธีการใช้ RF บริเวณโคนลิ้น

แต่ถ้าผลการรักษา แก้นอนกรนยังคงไม่เป็นที่น่าพอใจ สามารถทำซ้ำได้อีก วิธีแก้โรคนอนกรนที่นิยมใช้ ร่วมกับการผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนลิ้นไก่และผนังคอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา

ข้อเสียของการรักษานอนกรนด้วยวิธีการใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้บริเวณโคนลิ้น

อย่างไรก็ตามไม่ใช่การรักษาที่คาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ถาวรตลอดไปเช่นเดียวกับการรักษาหรือแก้อาการนอนกรน ชนิดอื่นๆ เนื่องจากในอนาคต ถ้าผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น อาการนอนกรนอาจกลับมาเป็นอีกได้

การเตรียมตัวก่อนการรักษา

ผู้ป่วยที่จะรักษานอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เพื่อลดเสียงกรนด้วยการใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้บริเวณโคนลิ้น (Radiofrequency at Base of Tongue : RF BOT)

  • ควรจะรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่น พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันไข้หวัดหรือการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน
  • สำหรับผู้ป่วยโรคนอนกรนที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน หรือ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ต้องหยุดยาก่อนผ่าตัดหลายวัน ทั้งนี้ต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินความพร้อมของผู้ป่วยสำหรับการผ่าตัด ซึ่งอาจต้องตรวจเลือด ภาพถ่ายรังสี หรือคลื่นหัวใจแล้วแต่ความจำเป็น

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้คลื่นวิทยุ

  • ผู้ป่วยที่ใช้คลื่นวิทยุรักษา อาจรู้สึกหายใจลำบากจากการบวมบริเวณโคนลิ้น ซึ่งถ้าอาการรุนแรง อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะหลอดลมคอ
  • บางรายอาจเลือดออกจากแผลผ่าตัด ซึ่งปกติมักมีปริมาณน้อยและหยุดได้เอง ยกเว้นถ้าเลือดออกไม่หยุดอาจต้องไปทำการห้ามเลือดในห้องผ่าตัด
  • ผู้ป่วยอาจกลืนไม่สะดวกเนื่องจากบวมและเจ็บโคนลิ้นในช่วงแรก ซึ่งมักเป็นไม่เกิน 1 สัปดาห์
  • การแก้อาการนอนกรนด้วยวิธีนี้ อาจมีความเสี่ยงต่อเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 ซึ่งมาเลี้ยงกล้ามเนื้อของลิ้นได้ แต่มีรายงานที่พบน้อยมาก (ไม่ถึงร้อยละ 1) และผู้ป่วยเกือบทุกรายพูดได้ชัดปกติ

นอกจากความเสี่ยงจากการใช้คลื่นความถี่วิทยุแล้วยังมีความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของการใช้ยาชาเฉพาะที่ เช่น

  • ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม หูอื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายได้เอง อย่างไรก็ตามแม้ว่าผลข้างเคียงที่รุนแรงจะพบได้น้อยมาก
  • แต่ผู้ป่วยที่มีอาการนอนกรนมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับและมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือ มีโรคหัวใจหรือโรคปอดร่วมด้วย จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการแก้ปัญหานอนกรนด้วยวิธีนี้ได้สูงขึ้น

ขั้นตอนการรักษา

1. พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  

พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรึกษาปัญหาการนอนกรน ที่เกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วย

2. ตรวจสุขภาพการนอนหลับ Sleep Test

เพื่อประเมินอาการว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด การตรวจสุขภาพการนอนหลับ (Sleep Test) สามารถตรวจได้ที่บ้านเลย เพื่อที่ผลการตรวจจะได้ตรงตามอาการมากที่สุด โดยจะมีเจ้าหน้าที่ นำเครื่องตรวจไปให้ที่บ้าน

3. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแปรผลและอ่านผลตรวจสุขภาพการนอนหลับ(Sleep Test

หลังจากตรวจสุขภาพการนอนหลับเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะนำเครื่องตรวจกลับมาที่คลินิก และให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนอ่านผลการตรวจ

4. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ 

เมื่อแพทย์แปรผลอ่านผลเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเราเช่น การใช้คลื่นวิทยุ RF รักษา หรืออาจจ่ายอุปกรณ์แก้กรนให้กับคนไข้

ติดตามการรักษา

การปฏิบัติตนและสิ่งที่ควรทราบหลังใช้ Radio Frequency รักษานอนกรน

  1. ผู้ป่วยส่วนมากมักได้รับการรักษาร่วมกับการผ่าตัดบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ หรือการรักษาในจมูก ดังนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงมักให้นอนพักในโรงพยาบาล หลังผ่าตัด 1-2 คืน เพื่อเฝ้าระวัง และสังเกตอาการ
  2. ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บคอ ราว 1 – 2 สัปดาห์ ซึ่งมักเป็นเนื่องจากการผ่าตัดอื่นที่ทำร่วมด้วยมากกว่า อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีนี้มักจะได้รับยาที่จำเป็น เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ และ ยาลดบวมกลุ่มสเตียรอยด์ ร่วมด้วย
  3. หลังการใช้คลื่นความถี่วิทยุสัปดาห์แรก ทางเดินหายใจมักจะบวมขึ้น อาจทำให้หายใจไม่สะดวก และยังมีอาการนอนกรนนอกจากนี้อาจมีเลือดออกได้ ดังนั้นควรอมน้ำเข็งหรือประคบเย็นที่คอบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการขับเสมหะแรงๆ ระวังไม่แปรงฟันเข้าไปในช่องปากลึกเกินไป งดเล่นกีฬาที่หักโหมหรือยกของหนักชั่วคราว นอนศีรษะสูง โดยใช้หมอนหนุน แต่ถ้าอาการเป็นรุนแรงขึ้นควรรีบไปโรงพยาบาลพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาทันที
  4. ควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือ อาหารเหลวที่เย็น เช่น ไอศกรีม ไม่ควรรับประทานอาหารที่แข็งหรือร้อน หรือ รสเผ็ดรสจัดเกินไป อย่างน้อย 1 สัปดาห์แรกหลังใช้คลื่นความถี่วิทยุแก้ปัญหานอนกรน
  5. ควรรักษาความสะอาดในช่องปาก เช่น บ้วนปากและแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
  6. การนัดตรวจติดตามอาการ แพทย์จะนัดมาดูแผลครั้งแรกประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด และหลังจากนั้น 4 สัปดาห์ แพทย์จะนัดมาเพื่อประเมินผลการรักษา ถ้าอาการต่าง ๆ เช่น โรคนอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับม่ดีขึ้น แพทย์อาจจะพิจารณาการรักษาซ้ำหรือ แนะนำทางเลือกในการรักษาอื่น ๆ ที่เหมาะสมมากกว่า ต่อไป

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

คลินิกของเรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้รับการศึกษาและรับรองจากสถาบันนานาชาติ เรามีใบรับรองแพทย์เฉพาะทาง เกี่ยวกับกล้ามเนื้อทางใบหน้าที่ผิดปกติ เช่นช่องปากและลิ้น เป็นต้น

เทคโนโลยีที่ทันสมัย

VitalSleep Clinic มีเทคโนโลยีในการรักษามากมาย ทั้งแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด นอกจากนี้ยังมีการบำบัดฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้าและทางเดินหายใจ Myofunction Theraphy และจำหน่ายอุปกรณ์ลดการกัดฟันและข้อต่อขากรรไกรอักเสบ เช่น Myosa®

เสียงตอบรับ

ใครๆก็ไว้ใจให้ VitalSleep Clinic ดูแลรักษาอาการนอนกรน,ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ,นอนกัดฟัน,ข้อต่อขากรรไกรอักเสบ

ติดต่อขอรับคำปรึกษาได้ที่

VitalSleep Clinic ตั้งอยู่ที่ตึกพญาไทพลาซ่า ชั้น 33 ใกล้ BTS เดินทางง่าย ไม่ซับซ้อน สะดวกในการเดินทาง

เรามีคลินิกที่มีเจ้าหน้าที่พร้อมบริการและต้อนรับทุกคนอย่างเป็นมิตร เราใส่ใจในการบริการและจริงใจต่อทุกคน

Scroll to Top