เครื่องช่วยหายใจ แก้กรน ราคาเลือกอย่างไร การนอนกรนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ เพราะในเสียงกรนที่น่ารำคาญนั้น อาจแฝงความเสี่ยงของโรคร้ายแรงอย่าง “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea)” ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพร่างกาย และแม้แต่ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
หนึ่งในวิธีรักษาที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกคือ เครื่องช่วยหายใจ หรือที่เราคุ้นกันในชื่อ เครื่อง CPAP แต่ว่าควรเลือกซื้อยังไง? เครื่อง CPAP ราคาเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม? เครื่อง CPAP ราคาถูกคุ้มไหม? เครื่องช่วยหายใจนอนกรน ราคาไหนดี? วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกทุกเรื่องของ เครื่องช่วยหายใจ แก้กรน ราคา แบบครบทุกแง่มุม
เครื่อง CPAP คืออะไร?
CPAP ย่อมาจาก Continuous Positive Airway Pressure เป็นเครื่องช่วยหายใจที่จ่ายลมผ่านหน้ากากเข้าสู่ทางเดินหายใจอย่างต่อเนื่อง ป้องกันไม่ให้ช่องทางหายใจยุบตัวขณะหลับ
BiPAP ต่างจาก CPAP อย่างไร?
BiPAP เป็นเวอร์ชันอัปเกรดของ CPAP ที่ให้แรงดันลม 2 ระดับ คือ หนึ่งตอนหายใจเข้า อีกหนึ่งตอนหายใจออก เหมาะกับผู้ที่ใช้ CPAP แล้วรู้สึกอึดอัด หรือมีโรคประจำตัวเช่น COPD
ประโยชน์ของเครื่องช่วยหายใจสำหรับคนที่นอนกรน
- หลับลึกขึ้น ตื่นมาสดชื่น
- ลดความเสี่ยงของภาวะใหลตาย
- ช่วยควบคุมความดันและน้ำตาลในเลือด
- ลดการปัสสาวะกลางคืน
- เพิ่มคุณภาพชีวิตของคู่ชีวิต
เครื่องช่วยหายใจ แก้กรน มีกี่ประเภท?
1. CPAP (Continuous Positive Airway Pressure)
เป็นเครื่องนอนกรนช่วยหายใจที่ใช้แรงดันลมคงที่ตลอดทั้งคืน เพื่อเปิดทางเดินหายใจที่แคบให้กว้างขึ้นขณะนอนหลับ เหมาะสำหรับคนที่มี OSA ระดับปานกลางถึงรุนแรง
ขอบคุณข้อมูลจาก American Academy of Sleep Medicine
ข้อดี
- เป็นมาตรฐานการรักษาหลักที่ได้ผลทางการแพทย์ชัดเจน
- ลดอาการหยุดหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ข้อจำกัด
- เสียงเครื่องอาจรบกวนผู้ใช้หรือคนข้างเคียง
- ต้องใส่หน้ากากครอบจมูกหรือจมูก-ปาก อาจทำให้รู้สึกอึดอัดในช่วงแรก
2. Auto CPAP (APAP)
คล้าย CPAP แต่สามารถปรับแรงดันลมอัตโนมัติตามความต้องการของร่างกายในแต่ละช่วงของการนอน
ข้อดี
- สะดวกสบายมากกว่า CPAP เพราะใช้แรงดันเท่าที่จำเป็นในขณะนั้น
- เหมาะกับคนที่มีแรงต้านของทางเดินหายใจเปลี่ยนแปลงตลอดคืน
- มักเหมาะกับคนที่เริ่มต้นใช้งาน
ข้อจำกัด
- CPAP ราคาสูงกว่า
- อาจต้องใช้เวลาปรับแรงดันให้แม่นยำโดยแพทย์เฉพาะทางหรือผู้เชี่ยวชาญ
3. BiPAP (Bilevel Positive Airway Pressure)
ใช้แรงดัน 2 ระดับ คือ แรงดันขณะหายใจเข้า และขณะหายใจออก จะต่างจาก CPAP ที่ใช้แรงดันคงที่
ข้อดี
- เหมาะกับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือภาวะกรนรุนแรงมาก
- หายใจได้สะดวกกว่า เพราะลดแรงดันขณะหายใจออก
ข้อจำกัด
- เครื่องใหญ่กว่าและราคาสูงกว่า CPAP
- ต้องมีการปรับแต่งแรงดันโดยแพทย์เฉพาะทางอย่างใกล้ชิด
4. เครื่อง iNAP (Negative Pressure Therapy)
เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ไม่ต้องใช้หน้ากากหรือแรงดันลมบวก แต่ใช้แรงดูดอ่อน ๆ (Negative Pressure) ผ่านท่อเล็ก ๆ ในช่องปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจส่วนหลังลิ้นเปิดตลอดเวลา
ข้อดี
- ไม่มีเสียงดัง เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการใส่หน้ากาก
- พกพาง่าย ใช้สะดวกขณะเดินทาง
- ไม่ทำให้ปากแห้งหรือรู้สึกอึดอัด
ข้อจำกัด
- เหมาะกับคนที่มีอาการหยุดหายใจขณะหลับระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- ในบางรายอาจต้องใช้เวลาปรับตัวกับแรงดูดในช่องปาก
วิธีเลือกซื้อเครื่องช่วยหายใจให้เหมาะกับตัวเอง
1. ตรวจวินิจฉัยก่อน ว่าคุณเป็น OSA ระดับไหน
- ควรเริ่มจากการทำ Sleep Test เพื่อให้รู้ว่าอาการกรนของคุณอยู่ในระดับ เล็กน้อย ปานกลาง หรือรุนแรง
- ถ้าเป็นเพียงกรนธรรมดา ไม่มีภาวะหยุดหายใจ อาจไม่จำเป็นต้องใช้ CPAP หรือ BiPAP
- แต่ถ้าเป็น OSA ระดับกลางถึงรุนแรง การใช้เครื่องอย่าง CPAP, APAP, BiPAP จะจำเป็น และได้ผลดีที่สุด
2. เลือกประเภทเครื่องให้ตรงกับความต้องการ
- CPAP ถ้าคุณไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแรงดันลม หรืออยากได้เครื่องมาตรฐาน
- Auto CPAP (APAP) ถ้าคุณต้องการความยืดหยุ่น และไม่แน่ใจว่าแรงดันลมที่เหมาะสมอยู่ที่เท่าไหร่
- BiPAP เหมาะกับคนที่เป็น OSA รุนแรงมาก หรือมีโรคร่วมเกี่ยวกับการหายใจ
- iNAP สำหรับคนที่ไม่ชอบใส่หน้ากาก พกพาง่าย และมี OSA ในระดับที่ไม่รุนแรง
3. ความสะดวกในการใช้งาน
- เครื่องควรมี เสียงเบา, ตั้งค่าใช้ง่าย, และมี ขนาดพกพาได้ ถ้าต้องมีการเดินทางบ่อย
- หน้ากากควรเลือกให้เหมาะกับใบหน้า เช่น หน้ากากครอบจมูก, ครอบทั้งหน้า หรือชนิดเสียบจมูก
- ถ้าคุณหายใจทางปาก ควรใช้หน้ากากแบบ Full Face หรือใช้ร่วมกับ Chin Strap (สายรัดคาง)